เมื่อต้องกลับไปทำงาน กลับมาทำงานอีกครั้ง จะดีหรือไม่ดีกันแน่
เมื่อต้องกลับไปทำงาน หลังจากที่ได้ทำงาน working ที่บ้านกันมาอย่างยาว ๆ เป็นเวลา 2 ปีกว่า ๆ ทำให้เมื่อต้อง กลับไปทำงาน อีกครั้งอาจทำให้ เงินในกระเป๋า ช็อตได้แน่นอน ทำไมถึงพูดแบบนี้ เพราะอาจจะกลายเป็น ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ กันไปแล้ว
และเมื่อถึงเวลา ที่คนทั่วโลก ต้องกลับไปทำงาน ไม่เว้นแม้แต่ ในประเทศอเมริกา ที่ต้องบอกว่า เป็นเมืองที่ใหญ่ อีกเมืองหนึ่งเลย ทำให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดนที่ได้กล่าว ไว้เมื่อต้นปีว่า ตัวเขาเองไม่ใช่ ผู้นำเพียงคนเดียว ที่เรียกร้องให้ผู้คน กลับไปทำงานกัน ที่สำนักงานอีกครั้ง
นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของสหราชอาณาจักร ได้ประกาศเมื่อปลายปีที่แล้ว ขณะที่เขาได้คาดการณ์ ว่าการเดินทาง กลับไปทำงานของ บรรดาผู้คน น่าจะไม่เท่าเดิม กับที่ตอนเริ่มยกระดับของ สถานการณ์ การแพร่ระบาด
เรื่องนี้ไม่ใช่ เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะว่าหากไม่มี การเดินทางออกจากบ้าน เพื่อไปทำงาน ก็จะทำให้ธุรกิจในหลาย ๆ ธุรกิจไม่สามารถ กลับมาฟื้นฟูได้ ถ้าเทียบค่าเป็นตัวเลข ก็อาจจะเห็นค่า ความเสียหายอยู่ที่ 107 ล้านเหรียญต่อวัน กันเลยทีเดียว ทำให้หลาย ๆ องค์กรสนับสนุนให้ เมื่อต้องกลับไปทำงาน เป็นโครงการเร่งด่วนไปแล้ว
แต่ปัญหาของพนักงาน คือความจำเป็นต้อง ใช้เงินในการเดินทาง หรือซื้ออาหาร ติดมือกลับบ้าน หรือต้องเปลี่ยน ชุดสำนักงานใหม่ เพราะสองปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าป่านนี้ โต๊ะทำงานก็อาจจะต้อง มีการปรับปรุง
ซึ่งเชื่อหรือไม่ว่า ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ที่กล่าวมาไม่ได้ ตรึงราคาไว้เท่ากัน กับก่อนที่จะมีสถานการณ์ การแพร่ระบาด เพราะเวลานี้ สถานการณ์น้ำมันของโลก ที่ปรับตัวขึ้นสูง เป็นประวัติการณ์ ทำให้ไม่ว่าอะไร ก็จะมีต้นทุนที่สูงเพิ่ม ขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อต้องกลับไปทำงาน เมื่อกลับไปทำงานอีกครั้ง รู้สึกว่า ทุกอย่างแพง ขึ้นหมด
ที่เลวร้ายกว่านั้น ค่าตั๋วรถไฟฟ้า เพิ่มขึ้นไปมากกว่า 42 % และไม่ว่าจะเป็น ค่าครองชีพใด ๆ ก็ขึ้นมาในระดับนี้ กันแทบจะทุกธุรกิจ ทางด้าน Umus อาจารย์ประจำ มหาวิทยาลัย ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ออกมาพูดเรื่องนี้ว่า
พวกเราพบกับรายจ่ายสะสม ไม่ว่าจะหยิบจับอะไร เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่เพียงเท่านี้ อาหารกลางวัน กาแฟและของว่าง ก็มีราคาพุ่งขึ้น ไปด้วยอย่างแท้จริง ก็น่าจะต้อง เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหากเรามอง ทางด้านต้นทุนสูง ราคาขายก็สูง เป็นเงาตามตัวนั่นเอง
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ ประชากรโลก ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มเดียวที่ เมื่อต้องกลับไปทำงาน ต้องดิ้นรนหาเงิน เพิ่มขึ้นมาเพื่อใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล ที่ยังไม่ได้รวมถึง ค่าใช้จ่ายสาธารณะ
ในที่สุดก็ ถูกบังคับ ให้กลับเข้ามา ทำงานแบบเต็มเวลา
ต่อให้คนที่สามารถ ทำงานที่บ้านได้ และไม่เต็มใจ ที่จะไปทำงานที่สำนักงาน นอกจากว่าจะจำเป็นจริง ๆ ทำให้ตอนนี้ บรรดาลูกจ้างทั่วไป ต่างก็มีมุมมอง ที่อาจจะต้องหางานใหม่ เพราะเงินที่มีเท่าเดิมแต่ เมื่อต้องกลับไปทำงาน ไม่สามารถตอบโจทย์ ความเพียงพอกับค่าใช้จ่าย ที่ต้องแบกรับ อยู่ในขณะนี้
ซึ่งเรื่องนี้ทางบริษัท ก็ตระหนักถึง ความกังวลของพนักงาน และมาร่วมกัน หาทางแก้ไข ที่จะทำอย่างไรก็ได้ เพื่อบรรเทารายจ่าย ให้กับพนักงาน ซึ่งในตอนนี้ ทางสหราชอาณาจักร ก็มีการปรึกษากันว่า จะมีเงินช่วยอุดหนุน ให้กับพนักงาน สำหรับเป็นค่าเดินทาง ให้กับพนักงาน ที่บางบริษัทในขณะนี้ ได้เสนอให้ถึง 75 ดอลลาร์ต่อวันแล้ว
และยังมีการบริการ อาหารเช้าฟรี ให้กับพนักงานอีกด้วย ซึ่งค่าตอบแทนเหล่านี้ ไม่ได้เป็นกฎ หรือประกาศเป็นมาตรฐาน ไปทั่วประเทศ นี่ก็หมายถึงว่า ไม่เพียงแค่ขอให้ เลิกทำงานที่บ้าน แต่ขอให้มาทำงาน และจ่ายเงินค่าจ้าง ให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ในหลาย ๆ ประเทศค่าใช้จ่ายที่ เกี่ยวข้องกับการทำงาน ก็มีเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาด ผู้คนก็ได้มีโอกาส ซึมซับค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว แบบที่ไม่มีคำถาม แต่ว่าตอนนี้ บรรดาพนักงาน เมื่อต้องกลับไปทำงาน อาจจะมีทางเลือกอื่น ๆ ที่หลายคนมักจะพูดว่า มันเป็นเรื่องของ ความเป็นธรรม
ทางผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทางด้านพฤติกรรมองค์กร ได้บอกว่าเราตัดสิน ความเป็นธรรม ไม่ใช่แค่โดยพิจารณา จากสิ่งที่เพื่อร่วมงานของเราได้รับ แต่ยังรวมถึง สิ่งที่คนอื่น ทำงานที่แตกต่างกัน ในองค์กรต่าง ๆ ที่ได้รับ
ดังนั้นหากบริษัทหนึ่ง ให้เงินอุดหนุน ในการเดินทาง ให้แก่พนักงานแล้ว ทำให้คนงานอื่น ๆ ก็ต้องมีแนวโน้ม ว่าจะต้องการเช่นเดียวกัน และผู้คนไม่ได้ อยู่ในสถานการณ์ ที่ไม่ยุติธรรม พวกเขาทำงานน้อยลง หรือมักกจะเลิกทำงาน
และหากบางบริษัท เริ่มให้เงินเพื่อ เป็นการอุดหนุนค่าเดินทาง สิ่งนี้ก็จะกลายเป็น บรรทัดฐาน ในการปรับตัว ของตลาดแรงงาน และก็ต้องสนับสนุน ให้นายจ้างเลือก ที่จะทำในบางโอกาส ที่ทางบริษัท อาจจะทำได้หรือไม่ ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย
ที่พูดแบบนี้ เหมือนมีเป้าหมาย ที่จะลดต้นทุน แต่นโยบายของ ที่สำนักงานบังคับใช้โดย ไม่มีสิทธิพิเศษใด ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มีแนวโน้มว่า จะส่งผลที่ตามมาอย่างไม่ตั้งใจ เป็นข้อดีที่สามารถ รักษาพนักงานเอาไว้ แต่มันจะคุ้มค่าไหม สำหรับเงินที่ต้อง จ่ายเพิ่มขึ้นที่มากมาย ที่จะตามมาอีกด้วย เรียกว่าต้องคิด อย่างหนักเลยทีเดียว
ที่บางคนอาจจะพูดว่า ฉันเป็นผู้ที่โชคดี ในขณะที่คนอื่น ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร
ที่แม้ในปัจจุบัน ก็ยังมีคนงานบางคน ที่พยายามพูดคุย กับนายจ้างว่า เขาจะกลับมาทำงาน ที่สำนักงาน ให้บ่อยเท่าที่จะทำได้ แต่นายสมิธ จากมูลนิธิการแก้ปัญหา ชี้เห็นว่าผู้ที่มีทางเลือก ในการทำงานจากที่บ้าน ก็ยังเป็นคน ที่โชคดีที่สุด แบบนี้เรื่องการท่องเที่ยวในฝัน ทึ่เคยคิดเอาไว้ก็พับ เก็บไปก่อนได้เลย
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อต้องกลับไปทำงาน การทำงานที่มีความรู้ และผู้ที่มีรายได้สูง มีแนวโน้มที่จะสามารถ ทำงานที่เป็นการ ควบคุมทางไกล ตั้งแต่ในช่วงของ การแพร่ระบาดใหญ่ มากกว่าคนที่ มีรายได้ต่ำ ซี่งพวกเค้าไม่มี ทางเลือกอื่นนอกจาก ต้องทำงานในแต่ละวัน และซึมซับสิ่งที่เกี่ยวข้องที่เพิ่มขึ้น ที่อาจจะต้อง ยอมรับชะตากรรม ที่เกิดขึ้นก็เป็นได้
เรื่องนี้สำหรับหลายคน คิดว่าต้องมีการ จัดการและการวางแผน อาจจะไปทำสัก 2 – 3 วันต่อสัปดาห์และก็แจ้ง เวลาให้ทางสำนักงาน ทราบล่วงหน้า หรือสลับกัน ทำงานในแต่ละหน้าที่ ที่สามารถทำได้
หรืออาจจะต้อง หาที่พักที่ใกล้ที่ทำงานมากขึ้น เพื่อจะประหยัดค่าใช้จ่าย ในการเดินทางแต่ก็จะมีปัญหาใหม่คือ ทุกข์เพราะคิดถึงลูก และสิ่งเหล่านี้ ก็จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่คือกลายเป็น คน ไกลลูก ก็จะทำให้เกิด แคปชั่นห่างลูก สำหรับคนทำงาน ที่มีอยู่ทั่วโลกและก็คงต้องหา วิธี ทำใจ เมื่อต้อง ทิ้งลูกไป ทำงาน ในขณะนี้กันเลยทีเดียว
และหากใครต้องการ ติดต่อเราโดยตรง สามารถติดต่อได้ที่
เรียบเรียงโดย NANAMI