งานหนักเกินไป เราอยู่ในยุค การทำงานหนัก กำลังเฟื่องฟู
งานหนักเกินไป เมื่อการทำงานหรือ working เป็นเวลานาน ๆ ในแต่ละวัน และสิ่งที่ได้มา คือความอ่อนล้า อ่อนเพลียในทุก ๆ วัน ถ้ามันหมายถึงเครื่องหมาย ของความสำเร็จแล้วละก็ มันเป็นสิ่งจำเป็น ที่เราต้องรู้ ว่าทำไมเราถึง จะยอมแพ้
เมื่อเรามุ่งหน้าเข้าสู่ปี 2022 มีเรื่องราวที่ดีที่สุด ลึกซึ้งที่สุด และสำคัญที่สุด และถ้าคุณได้อ่าน บทความนี้จบลง คุณก็คงจะต้องเลือก ว่าจะยังทำงาน ที่หนักเกินไป เหมือนเดิมดีหรือไม่
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อประมาณปี 2530 ได้มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ที่เป็นหนังของวอลล์สตรีท เป็นเรื่องราวที่พยายาม ถ่ายทอดออกมา ให้โลกได้รู้ ว่าความโลภหรือความ อยากได้อยากดี อยากมีอยากเป็น บางครั้งมันเป็นแรงจูงใจ ที่จะทำให้คนเรา มีความต้องการ และในที่สุด ความสำเร็จจะตามมา
ในหนังเรื่องนี้ ได้มีข้อเตือนใจบางอย่าง ถึงคนที่ตั้งใจ ทำงานวันละหลาย ๆ ชม.ในตึกที่ใหญ่โต หรือสูงระฟ้า สิ่งเหล่านี้เหมือน พันธนาการ ที่เป็นข้อตกลง ในเรื่องของเงินเดือน หรือรายได้ที่ได้มี การตกลงกันไว้
และถ้าหากคุณ ใช้ชีวิตใน การ ทำงาน หนัก เกินไป และเมินเฉยต่อ ศีลธรรมบางอย่าง และยินดีกับคำเยินยอ ถึงความดีและความยิ่งใหญ่ ที่คุณจะประสบ ความสำเร็จได้
งานหนักเกินไป มีหลายคนที่ชอบใช้ ทํางานหนัก แคปชั่น ทางหน้าโซเชียลอยู่เสมอ
บางครั้งหลายคน บอกว่ามันเป็น ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ที่มีความทะเยอทะยาน ที่มากเกินไป เพราะตั้งแต่เริ่มปี 2000 เป็นต้นมาอุตสาหกรรม ทางการเงินมีแนวโน้ม ที่จะทำให้คน ยิ่งต้องอุทิศตัวเอง ใช้ร่างกายหนักเกินไป เพื่อแลกกับเงินจำนวนมาก
หรือแค่มีเวลา เพียงเล็กน้อยก็ยังจะต้อง หาเงินพิเศษ เพื่อที่จะได้ งานหนักเกินไป แลกเงินแลกความสะดวกสบาย ที่มีมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ทราบว่า ความคิดในเรื่องแบบนี้ มันถูกฝังอยู่ใน วัฒนธรรมของการทำงาน กันตั้งแต่เมื่อไหร่
เหมือนว่าแนวโน้ม จะยิ่งมากขึ้นและมากขึ้น จากงานวิจัย มีการรายงาน ว่าคนงานทั่วโลก ทำงานนอกเวลางาน แต่ไม่ได้รับค่าจ้าง คิดเฉลี่ยแล้ว 9.2 ชม.ยิ่งเทคโนโลยี เข้ามามีบทบาท การทำงานตามเวลาที่ กฎหมายกำหนดแล้ว วันละไม่ต่ำกว่า 8 ชม.
แต่ก็ยังต้องหอบงาน กลับมาทำที่บ้าน มีการประชุมต่อที่บ้าน หรือตั้งแต่มี โรคระบาดเกิดขึ้น ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปเลย
การทำงานอยู่ที่บ้าน ยิ่งกลายเป็นงาน ที่หนักมากขึ้นกว่าเดิม ทำกันตั้งแต่ ตื่นนอนมาจนกระทั่ง ถึงเที่ยงคืน แล้วชีวิตความเป็นส่วนตัว ของพวกพนักงาน มันหายไปอยู่ที่ไหนกัน
สิ่งนี้ทำให้เรา อาจจะเข้าใจได้ ว่ามันเกี่ยวกับ สิ่งที่เราทำนั้น มันหนักเกินไปหรือไม่ หรือเพราะว่าเรา กลัวว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ แล้วจะตกงาน หรือมีคนอื่น ที่เค้ามีความพร้อม ที่จะเข้ามาเสียบ ในตำแหน่งงานของเราได้เสมอ หากเรามีปัญหา
เพราะอย่าลืมว่าการ ทํางานหนัก ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะเมื่อใช้ร่างกาย อย่างหนักขนาดนี้ ผลที่จะตามมา ก็คือสุขภาพ จะย่ำแย่เพราะความเหนื่อยล้า มีเกิดขีดจำกัด เพราะการทำงานหนักเกินไป ที่มีความเครียดสูงเบอร์นี้ เท่ากับว่า ทํา งานหนักจน ป่วย ถ้าหากทั่วโลก จะได้มีการปฏิวัติ หลังจากที่โรคระบาดทุเลาลงแล้ว ก็เป็นสิ่งที่น่า จะต้องลองทำดู
มันเกิดขึ้นที่ไหน และทำไมถึงเกิดขึ้น?
การทำงานหนัก ไม่ใช่เกิดขึ้นแค่ในกลุ่ม หรืองานบางงาน แต่ตอนนี้ดูเหมือน มันได้กระจาย เป็นวงกว้างไปแล้ว กับการทำงานนาน ๆ เพราะอาจจะด้วย เหตุผลหลายประการ สำหรับในญี่ปุ่นมี วัฒนธรรม ของการทำงาน ที่หนักเกินไป แบบนี้มาตั้งแต่ปี 1950 แล้ว
ทำให้ทางรัฐบาลของเค้า ก็เข้ามาผลักดันอย่างหนัก หรืออาจจะเรียกว่า เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขกัน ในระดับชาติ และยิ่งตอนนี้เข้าใจว่า ในทุกประเทศทั่วโลก กลุ่มที่หนักหนาที่สุด น่าจะเป็นบุคลากร ทางการแพทย์นั่นเอง ที่ทำงานหนักเกินไป
แต่ยังมีคนอีก หลายล้านคนที่ ทำงานหนักเกินไป เพราะคิดว่าเป็นเรื่อง ที่พวกเขาทำได้ และรู้สึกดีและตื่นเต้น ที่มันปรากฏ มาให้รูปแบบ ของความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เป็นรถที่เอามาโพสกันเต็ม อยู่ในโซเชียล
ทำให้ดูและคิดว่า กำลังใช้ชีวิต และได้ทำไปตามความฝัน ทำให้ดูโรแมนติก และเหมือนว่าจะเป็น เรื่องธรรมดาไปแล้ว โดยเฉพาะ ในพวก ที่มีความรู้มากเกินไป
มีรองศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านการจัดการ ด้านคลินิกของ New York ได้กล่าวว่าคนส่วนใหญ่ ให้การยกย่อง ไลฟ์สไตล์แบบนั้น ตื่นขึ้นมาทำงาน บางครั้งนอนตรง ที่ทำงานและ ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วจะมีบ้านใหญ่ ๆ ไปทำไมกัน จะมีรถไปทำไม เพราะไม่มีเวลา ที่จะไปชื่นชม สิ่งที่คุณหามาได้
จากคำพูดที่ว่า “เงินไม่เคยหลับ หรือไม่มีเวลาหยุด” ใครอยากได้ต้องคว้าเอา
เชื่อหรือไม่ว่า แนวโน้มของคน ในสหราชอาณาจักร และอเมริกา ที่ดูเหมือนว่า จะเป็นประเทศที่ร่ำรวย กลับสร้างสิ่งที่เย้ายวนใจ มาล่อหลอกมากเกินไป และทำไมสังคม เริ่มยกย่องผู้ประกอบการ ที่จะกล่าวว่า พวกเขาต้องการเปลี่ยนโลก ด้วยการจัดโครงสร้าง ของแต่ละวันที่ยาวมาก ๆ
เพื่อความยิ่งใหญ่ที่สุด และยังได้เน้นย้ำ ถึงการเปลี่ยนแปลง แรงบันดาลใจ และทำให้ต้องเติมพลัง และมีไฟเหมือนยิ่งเป็นการ โมติเวทเพื่อ จุดประสงค์ของความสำเร็จ ที่มีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่มันจะตลก ตรงที่บรรดา เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา
แทนที่ของคน ที่ทำงานหนักเกินไป และ งาน หนัก จน เครียด เหนื่อยล้ามากขึ้นทุกวัน เหตุการณ์นั้นเราต้องเจอ อย่างแน่นอนหรือ บางกิจการตอนนี้ ก็อาจจะได้รับ ผลกระทบแล้วด้วย
เพราะเราได้ลดทอน ความเป็นมนุษย์ ให้กับงานไปนานแล้ว
ดูเหมือนว่าจะเป็นคำพูด ที่อาจจะแรงเกินไป เพราะทุกวันนี้ หลายคนทำงาน วันละหลาย ๆ ชม.เพื่อจะได้มีเงินมาจ่าย หรือเพื่อจะรักษางานไว้ เพื่อต้องการที่จะก้าว ขึ้นไปสู่ขั้นที่สูงกว่า ที่ในหลายบริษัท มีการคาดหวัง ว่าพนักงานของเค้า พร้อมทำงานอยู่ตลอดเวลา
นั่นทำให้วัฒนธรรม การทำงานหนักเกินไป ยังคงเป็นองค์ประกอบ หรือเป็นสิ่งที่มี ประสิทธิภาพมาก เพราะเงินอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็น การอวดรถใหม่ หรือโชว์อาชีพในฝัน สิ่งเหล่านี้ ต้องแลกมาด้วย งานและความเหนื่อยล้า
ในที่สุดวันที่คุณ รู้สึกว่าถ้วยรางวัลนี้ มันประหลาดเหลือเกิน แล้วจะเอาไปทำอะไร กับถ้วยรางวัลเหล่านั้น อยากจะให้ทุกคน ที่จะหันหลังกลับมามอง โดยเฉพาะผู้บริหาร ที่ทำการบริหาร ต้องมีประสิทธิภาพ ให้มากยิ่งขึ้น และตั้งเป้าหมายใหม่ขึ้น ไปอีกในทุก ๆ ปี
ว่าพอจะมีทางไหม ที่จะให้โอกาส พนักงานได้พักผ่อน แบบเพียงพอให้ใช้ชีวิต และจดจำสิ่งดี ๆ นอกจากงานของ ชีวิตที่เหลือ แค่ไม่กี่สิบปี ของแต่ละคน
จะได้มีความทรงจำที่ดี ๆ ไม่ใช่ความทรงจำ ของความเหนื่อยล้า ไปจนกระทั่ง เขาคนนั้นหมดลมหายใจ เพราะศักดิ์ศรีของ ความเป็นมนุษย์ ยังอยู่ในตัวของทุกคน เสมอไปค่ะ
เรียบเรียงโดย NANAMI