เทคนิค IF สำหรับคนไม่ออกกำลังกาย ก็ลดน้ำหนักได้ รู้ยัง?! หากกินให้ถูกวิธี
เทคนิค IF เชื่อว่าบางท่าน อาจจะเคยได้ยิน ผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง แต่อาจจะมี ความเข้าใจมากน้อย แตกต่างกันไป เราจึงจะมาบอกกันชัด ๆ ว่าวิธีนี้จริง ๆ แล้วมันเป็นอย่างไร ? มีวิธีการอย่างไร ? และเหมาะสำหรับใครบ้าง ?
IF คืออะไร ? ใครเหมาะกับ ตารางทํา if บ้าง ?
IF คือการคิดค้นของแพทย์ ที่ต้องการปรับพฤติกรรม ด้านเวลาของ การรับประทานอาหาร เพื่อลดน้ำหนักแบบ ไม่เสียสุขภาพ
จะบอกเลยว่า วิธีนี้นั้นเหมาะ กับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ (แนะนำผู้ใหญ่มากกว่า) เพราะการเผาผลาญ ของผู้ใหญ่จะน้อยลง และลดได้ยากกว่า โดยไม่จำกัดเพศ ทำได้ทุกเพศ ที่มีความต้องการ ที่จะลดน้ำหนัก อยากมีสุขภาพ และหุ่นที่ดีขึ้นค่ะ แต่บางคนอาจจะ ไม่มีเวลาทุกวัน หรือหลายวันในสัปดาห์ ที่จะออกกำลังกาย ด้วยหน้าที่การงาน ติดธุระ ความไม่สะดวก หรือคนที่ออกกำลังกาย เป็นประจำอยู่แล้ว เหตุผลอะไรก็ตามแต่ หรือแม้แต่คนที่ ไม่ชอบออกกำลังกายเลย ก็ยิ่งเหมาะสมกับ IF!
การทํา if แบบถูกต้อง มีเงื่อนไขที่สำคัญอยู่ 3 ข้อหลัก ๆ ได้แก่
- ในแต่ละวัน จะต้องงดอาหาร 1 มื้อ
- ไม่รับประทานอาหาร มื้อดึกเด็ดขาด!
- รับประทานอาหาร ให้อยู่ช่วงเวลา 8 ชั่วโมงเท่านั้น
1.เริ่มต้นที่ ตาราง IF มือใหม่ วิธีลดน้ําหนัก if 16/8
ทําif 18/6 หรือที่เรียกว่า Intermitent Fasting แบบวิธี Lean gains เป็นวิธียอดฮิต ที่สุดก็ว่าได้ พูดง่าย ๆ ก็คือการกิน 8 ชั่วโมง และงดกิน 16 ชั่วโมงนั่นเองค่ะ ถ้าสงสัยว่า เราจะรู้ได้ยังไง ว่ากินตอนไหน งดตอนไหน ?
ตัวอย่าง : ถ้าคุณเริ่มกิน อาหารเช้าในช่วง 8 โมงเช้า มื้อเย็นจะจบก่อน 4 โมงเย็น ไม่เกินนี้ค่ะ และกินแค่วันละ 2 มื้อเท่านั้น
ทํา if กี่วันเห็นผล ? ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนเพียง 1 สัปดาห์ บางคนอาจจะต้องใช้เวลามากกว่านั้น
2.วิธีลดน้ำหนักแบบ IF : Fast 5
คือการกิน 8 ชั่วโมง และงดกิน 16 ชั่วโมง วิธีนี้เป็น วิธีที่ค่อนข้างโหดมาก!! เหมาะกับคนที่ ต้องการหักดิบไปเลย ซึ่งถ้าใครยังปรับการกิน แบบง่ายกว่าไม่ได้ อย่าหาทำเลยนะคะ ไม่งั้นอันตราย ต่อสุขภาพตัวเองแน่นอน เป็นลมเป็นแล้งไป ทำยังไงล่ะนี่
3.วิธีลดน้ำหนักแบบ IF : Eat stop Eat
คือการกินแบบงดอาหาร 2 วันเต็ม ๆ ต่อ 1 สัปดาห์ และถ้าถามว่า ทํา if กินอะไรได้บ้าง วันที่กินปกติ ต้องกินยังไง ? สามารถกินได้ ตามปกติเลยค่ะ ไม่ต้องนับชั่วโมง เหมือนวิธีก่อน ๆ แต่! เน้นการกินที่มีประโยชน์ และปริมาณเท่ากับ ความต้องการในแต่ละวัน คือไม่ใช่กินแบบ ยัดแน่นเต็มกระเพาะ เพื่อเตรียมอดในวันต่อไป แบบนี้นะคะ 555
ใครที่เป็นมือใหม่ ไม่แนะนำอีกเช่นกัน เพราะอาจจะห้าม ใจตัวเองไม่ได้ หลังจากวันงด จะทำให้วันกิน ห้ามตัวเองไม่ได้ กินเยอะกว่าเดิม และที่สำคัญอีกอย่าง การทำแบบนี้มีโอกาสสูง ที่จะส่งผลต่อ อารมณ์ของเราด้วย ทำให้เราหงุดหงิดง่าย หรืออารมณ์ไม่ดีได้เลย
4. เทคนิค IF : 5ต่อ2
คือการกินแบบปกติ 5 วัน และกินแบบIF 2 วันค่ะ ซึ่งเราสามารถเลือกเอง ได้ว่าจะ IF ติดกัน 2 วันเลย หรือเลือกวันห่างกัน (แล้วแต่เราเลยค่ะ) ทีนี้วันทำ IF การกินสำหรับผู้หญิง เราจะกินวันละ 500 แคลอรี่ ส่วนผู้ชายกินวันละ 600 แคลอรี่ค่ะ
5.วิธีลดน้ำหนักแบบ IF : The Warrior Diet
วิธีนี้ถือว่า เอาเรื่องอยู่นะคะ เพราะว่าอะไร ? ตั้งแต่เช้ายาวไป จนถึงกลางวัน คุณสามารถดื่มได้ เพียงน้ำเปล่าเท่านั้น!! และมากระหน่ำกิน มื้อเย็นเพียงมื้อเดียว! ผู้เขียนกำลังคิดอยู่ว่า คนที่จะทำวิธีนี้ได้ ต้องทำอาชีพอะไร ต้องเป็นใครนะ ? ปกติแค่ลืมตามา ก็ท้องร้องหิวข้าวแล้วนะ 555 ทำงานไม่ว่าใช้สมอง หรือใช้กำลัง ไม่เป็นลมหงายหลัง ไปก่อนแล้วหรอ
6.วิธีลดน้ำหนักแบบ IF : ADF (ชื่อเต็ม Alternate Day Fasting)
เป็นการงดอาหาร แบบวันเว้นวันค่ะ ซึ่งจะแบ่งแบบนี้ 1.มีวันที่เรา กินได้ตามปกติเลย กับ2.วันที่กินแบบคุม จำนวนแคลอรี เหมือนกับวิธี 5:2 เป๊ะเลย ผู้หญิงไม่เกิน 500 ส่วนผู้ชายไม่เกิน 600 แคลอรี่ วิธีลดน้ำหนักแบบนี้ เขาเคลมนะว่าช่วย ในเรื่องของการ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และโรคเบาหวานที่ 2 ได้ด้วย และก็เป็นที่นิยม ในบางกลุ่มคนเลย
หลักการทำ IF ที่ควรคำนึงถึง มากที่สุดคือ “สุขภาพต้องมาก่อน ไม่ไหวอย่าฝืน~”
และนี่ก็เป็นอีก 1 ตัวเลือกสำหรับคน ที่ต้องการลดน้ำหนัก แบบปรับเรื่องของ อาหารการกินเท่านั้นค่ะ แต่ถ้าใครที่คิดว่า เราไม่เหมาะหรือเรา ไม่สามารถจะงด มื้ออาหารได้ ก็อาจจะต้องเลือก ใช้วิธีอื่นแทน เพราะเราก็รู้ว่า ยังมีอีกหลายวิธีเลย อยู่ที่ว่าเราสะดวก จะเลือกใช้แบบไหน เท่านั้นเองค่ะ ^^
เรียบเรียงโดย M.Varin